วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557



บทที่ 5

สรุปผลและอภิปรายผลงาน

สรุป

      การทำโครงงานขนมกะหรี่ปั๊บครั้งนี้  ทำให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันสืบค้นหาข้อมูลและปฏิบัติเป็นรูปเล่มโครงงานและทำเป็นของหวานเพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ และนอกจากนี้ยังเป็นการศึกษาวิธีการทำ และลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง

อภิปราย

1.            สามารถนำเอาโครงงานมาเป็นแบบอย่างในการศึกษาข้อมูลในการทำครั้งต่อไป
2.            ใช้ประโยชน์จากรูปเล่มโครงงานไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
3.            นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
4.            ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ให้กับตนเองและครอบครัว



ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน

           ในการทำโครงงานเรื่องกะหรี่ปั๊บในครั้งนี้ ทำให้ได้รู้เกี่ยวกับวิธีการทำขนมกะหรี่ปั๊บและศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาประยุกต์ใช้และได้รับประโยชน์ ดังนี้
1.สามารถทำขนมได้อย่างถูกวิธี
2. นำมาจัดทำเป็นรูปเล่มโครงงาน เพื่อการศึกษาต่อไป
3. สามารถนำไปประกอบการเรียนในรายวิชาที่เกี่ยวข้องได้
4.ได้เรียนรู้และฝึกทักษะการทำขนมกะหรี่ปั๊บ


 ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปใช้
       กะหรี่ปั๊บถ้าจะให้อร่อยต้องมีที่กรอบ  ต้องมีลักษณะเป็นชั้นๆ  แยกออกจากกันได้  






บทที่ 4

ผลการเรียนรู้


             จากการศึกษาค้นคว้าและฝึกทำขนมกะหรี่ปั๊บผลที่ได้คือพวกเราได้เรียนรู้วิธีการทำ               ขนมที่ถูกวิธี และได้ขนมกะหรี่ปั๊บที่อร่อยและถูกหลักอนามัยด้วยวิธีข้างล่างนี้

วัสดุอุปกรณ์

1.กระทะ
2. เตา
3. ถ่าน
4. ตะหลิ่ว
5.ตะแกง
6.จาน ชาม
7.ช้อน
8.มีด
9. เขียง

 ส่วนผสม 




     1.น้ำเปล่า
           2. เนื้อไก่บด
          3.ซีอิ้ว
           4.น้ำตาล
          5. เกลือ
           6.พริกไทย
     7. แป้งสาลีอเนกประสงค์
     8. ถั่วเหลือง
     9. น้ำมัน
    10.   หอมหัวใหญ่

วิธีทำแป้งของขนม

1.            เตรียมส่วนผสมให้พร้อมทุกอย่าง



                            2.ละลายน้ำตาลละลายเกลือกับน้ำเปล่าคนให้เข้ากัน



                               


          3.ใส่ลงไปในแป้งสาลีอเนกประสงค์แล้วคนให้เข้ากัน


        4.และใส่น้ำมันลงไปแล้วนวดแป้งให้เข้ากันและนวดแป้ง                                                                       
  




                  วิธีทำไส้กะหรี่ปั๊บ

1.      เตรียมส่วนผสมให้พร้อมทุกอย่างให้พร้อม



     2.ใส่น้ำมันลงไปพอน้ำมันเริ่มร้อนใส่หอมหัวใหญ่ลงไป 
  

     3.ใส่เนื้อไก่และถั่วเหลืองลงไปแล้วคนให้เข้ากัน

                                     

 4. ปรุงรสด้วยซอส น้ำตาล พริกไทย





           วิธีพับขนม
    1.            นวดแป้งให้เป็นรูปวงกมแบนๆ


 2.นำแป้งที่ได้มาคลึงให้เป็นแผ่นบาง   ใส่ไส้ตรงกลางปิดให้สนิท จีบปลายแป้งให้สวยงาม




  
           3. แล้วนำมาทอดให้กรอบ















       


บทที่ 3

วัสดุอุปกรณ์และขั้นตอนการดำเนินงาน


         วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในการดำเนินงาน

  1. ดินสอ
  2. ยางลบ
  3. ไม้บรรทัด
  4. สมุด
  5. ลิขวิด
  6. ปากกา


ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน

  1. แบ่งกิจกรรมตามหน้าที่
  2. สืบค้นหาข้อมูล
  3. รวบรวมข้อมูล
  4. จัดทำเป็นรูปเล่มที่สวยงาม
  5. จัดทำเป็นโครงงานนำเสนอ













บทที่2

เอกสารที่เกี่ยวข้อง


ประวัติและความสำคัญของขนมไทย


             ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่กับสำรับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่า สำรับกับข้าวคาว-
หวาน โดยทั่ว ไปประชาชนจะทาน ขนมเฉพาะในงานเลี้ยงนับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระงานมงคล
และงานพิธีการอาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วยของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้อง
เลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกันแต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้10 ที่ และ
ขนมเป็นน้า 1 ที่เสมอ สมัยสุโขทัยขนมไทยมีที่มาคู่กับ ชนชาติไทยจากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อ
ค้าขายกับต่างประเทศคือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย สมัยอยุธยา เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับ ต่างประเทศ
ทั้งชาติตะวันออกและตะวันตกไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้
เหมาะสมกับ สภาพความเป็นอยู่เครื่องมือเครื่องใช้วัตถุดิบที่หาได้ตลอดจนนิสัยการบริโภคของ
คนไทยเองจนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าอะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้า
มา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมี
ต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย"มารีกีมาร์" หรือ"ท้าวทองกีบม้า ซึ่งมารีกีมาร์" เกิดเมื่อ
พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่าพ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นใน
ปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้นมารีกีมาร์มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น
ผสมแขกเบงกอลผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ"อุรสุลายามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสาย
ญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเข้ามาเป็น
ทหารอาสา ในแผ่น ดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนักชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทอง
กีบม้า"ไดเข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หวัวหน้าห้องเครื่องต้น"ดูแลเครื่องเงินเครื่อง
ทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์และเก็บผลไมข้องเสวย มีพนักงานอยู่ใต้
บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ชื่นชม
ยกย่องมีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารีกีมาร์ได้สอนการทำขนม
หวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุทองโปร่งขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้นได้นำ มาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจน
ปัจจุบันนั้นถึงแม้ว่า"มารีกีมาร์" หรือ"ท้าวทองกีบม้า"จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติแต่เธอก็เกิด
เติบโต มีชีวิตอยู่ในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขยันอกจากนั้นยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็น
มรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลังได้กล่าวขนม ถึงด้วยความภาคภูมิ"ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหาร
ไทย" (คุณา นนทพัฒน์. มกราคม 2542: 6-9)
                   สำหรับขนมกะหรี่ปั๊บนั้นเป็นขนมที่นิยมทำกินกันมาตั้งแต่โบราณในหลายภูมิภาคของไทย
แต่ที่เป็นที่นิยมและขึ้นชื่อก็ต้องที่จังหวัดสระบุรีขนมกะหรี่ปั๊บจะต้องอาศัยความชำนาญความ
ประณีต บรรจง เพื่อให้เกิดความสวยงามและการรักษาความสะอาดเพื่อให้ถูกสุขอนามัย
ดังนั้นการทำขนมกะหรี่ปั๊บเปรียบเสมือนเป็นทั้งศาสตร์และ ศิลป์ในตัวของมันเอง


ประวัติกะหรี่ปั๊บ


         เป็นอาหารสไตล์ตะวันตกผสมกับอินเดีย เริ่มเป็นที่นิยมโดยชาวมุสลิมในประเทศไทย คาดว่าเป็นอาหารที่ถูกคิดค้นโดยโดยท้าวทองกีบม้า โดยตอนแรกชื่อว่า curry puff (พัฟฟ์ผงกะหรี่) ต่อมาได้เพี้ยนมาเป็น กะหรี่พัฟฟ์ และเพี้ยนเป็นกะหรี่ปั๊บในที่สุด
       สถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องกะหรี่ปั๊บที่มีชื่อเสียง คือ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จนกลายเป็นคำขวัญของอำเภอ ที่ว่า "เนื้อนุ่ม นมดี กะหรี่ดัง"  และนอกจากนี้ยังมีการทำกระหรี่ปั่บที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย หนัก300 กิโลกรัม โดยใช้เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ลึก 80 เมตร ใช้คนทำ 20 คน และใช้นำมันพืชในการทำ ถึง 2,000 ลิตร ในงานมหกรรมสินค้าราคาถูกและงานกาชาดสระบุรี เมื่อ 28-31 ธันวาคม พ.ศ.2540
ล่าสุด มีขนมโบราณอีกชนิดที่เจ้าของรื้อฟื้นกลับมาทำขายอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าขายดิบขายดี จนทำให้ต้องบอกต่อให้กันฟัง ขนมนั้นคือ "กะหรี่ปั๊บโบราณ" เป็นกะหรี่ปั๊บ แป้งบาง เกลียวเล็ก รับประทานกับอาจาด สูตรของ คุณสุวิมล ทองลิ่ม หรือเรียกแบบกันเองว่า คุณเล็ก คุณเล็กเจ้าของสูตรกะหรี่ปั๊บโบราณ วัย 67 ปี เล่าถึงที่มาที่ไปว่า เป็นคนกรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบไปช่วยญาติทำขนมขายที่ตลาดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ตั้งแต่อายุ 17 ปี จนแต่งงานกับสามี ทำให้ต้องออกจากบ้านญาติ มาอยู่บ้านพักข้าราชการ แต่เนื่องจากไม่ชอบอยู่เฉย อีกทั้งได้วิชาทำขนมหลายอย่างจากญาติทางฝ่ายพ่อ ไม่ว่าจะเป็นกะหรี่ปั๊บ ข้าวต้มมัด ขนมถ้วยฟู ขนมปุยฝ้าย ขนมเปียกปูน ขนมหม้อแกง และขนมพื้นบ้านของจังหวัดพังงา เช่น ขนมโกซุ้ย ขนมเป่าร้าง เลยคิดจะทำขนมขาย ถือเป็นการหารายได้ช่วยครอบครัวทางหนึ่ง เพราะเมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา เงินเดือนข้าราชการน้อยมาก อีกทั้งมีลูกหลายคน ซึ่งตอนแรกคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดี แต่มีวันหนึ่งไปเยี่ยมนายอำเภอ เห็นคุณนายนายอำเภอกำลังปั้นกะหรี่ปั๊บจึงนั่งดูพร้อมกับจำไว้ว่าจีบกะหรี่ปั๊บให้เป็นเกลียวเล็กๆ แต่สวยงามอย่างไร ประจวบเหมาะกับที่บ้านรับนิตยสารขวัญเรือน ฉบับที่ลงวิธีทำกะหรี่ปั๊บ จึงได้หัดทำไส้พร้อมกับหัดจีบไปเรื่อย จนได้กะหรี่ปั๊บเป็นเกลียวสวยงาม อีกทั้งเมื่อมาสำรวจตลาดพบว่า มีขนมมากมายวางขาย แต่ไม่มีกะหรี่ปั๊บ จึงคิดว่า สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะหาคนที่จะจีบให้เป็นเกลียวเล็กสวยงามนั้นยากมาก ตนเองเลยตกลงใจเลือกทำขนมชนิดนี้ขาย คุณเล็ก เล่าอีกว่า แรกที่ทำขาย จะทำเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงเช้าจะมีคนรับไปขายที่ตลาด ทำวันละประมาณ 100 ตัว ขายหมดทุกวัน ต่อมาคนรับไปขายบอกว่า ให้ทำขายตอนบ่ายด้วย ชาวบ้านจะได้รับประทานเป็นอาหารว่าง ทำให้ต้องทำเพิ่มอีกกว่า 100 ตัว ซึ่งยังขายหมดทุกวันเหมือนเดิม "ทำกะหรี่ปั๊บขายต่อเนื่องมา 3-4 ปี จนกระทั่งต้องย้ายเข้ากรุงเทพฯ จึงเลิกทำ แต่หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี สามีกลับไปทำงานที่อำเภอตะกั่วป่าอีกรอบ จึงรื้อฟื้นทำขายอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จะขายเฉพาะวันวันเสาร์-อาทิตย์ ขายตัวละ 50 สตางค์ คนขายคือลูกชายคนโตและคนรอง จะนำขนมใส่ถาดอะลูมิเนียมสี่เหลี่ยมพร้อมด้วยหม้ออาจาดเล็กๆ หิ้วไปด้วย ปรากฏว่า ขายไม่กี่ชั่วโมงก็หมด โดยทำวันละประมาณ 300 ตัว ลูกชายชอบใจและชอบที่จะขาย เพราะได้ค่าจ้างไปซื้อของเล่น"คุณเล็ก ย้อนอดีตให้ฟัง

เจ้าของเรื่องราว เล่าอีกว่า หลังจากที่ขายได้ไม่นาน มีคนเรียกร้องให้ขายวันธรรมดาด้วย แต่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีคนเดินขาย ถึงกระนั้นยังมีคนมาถามซื้ออยู่ประจำ เลยใช้วิธีหากใครต้องการรับประทานให้มารับที่บ้าน จะทำสดๆ ให้กันเลย แต่ต้องสั่งจำนวนมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป ซึ่งเธอจำได้ดีว่าสมัยนั้น มีลูกค้าที่เป็นพวกนายเหมืองให้ลูกสาวขับรถบีเอ็มมาซื้อถึงบ้าน สั่งทีละห้าสิบหกสิบตัว โดยเฉพาะเวลามีงานเลี้ยง จะสั่งเป็นจำนวนมาก
คุณเล็ก เล่าต่อว่า แม้ว่าจะขายดิบขายดีแค่ไหน แต่เชื่อว่าลูกค้าต้องมีวันเบื่อ ดังนั้น ในช่วงเวลา 1 เดือน จะเปลี่ยนมาขายขนมอย่างอื่น 1 ครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นสาคูไส้หมูโบราณ คือลูกโตกว่าที่เห็นในปัจจุบัน 2-3 เท่าและใช้นึ่งกับลังถึงไม่เหมือนยุคนี้ที่ใช้วิธีต้ม ปรากฏว่าขายดีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สุดท้ายต้องเลิกขายทั้งกะหรี่ปั๊บและสาคูไส้หมู เพราะสามีต้องย้ายไปรับราชการที่ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อปี พ.ศ. 2516
เจ้าของตำรับกะหรี่ปั๊บโบราณเกลียวเล็ก เปิดใจต่อว่า แม้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ แต่พออยู่ได้สักพักมีคนรู้ว่าทำกะหรี่ปั๊บอร่อย จึงมีคนรับอาสาไปขายให้ ทำให้ขายได้วันละ 200 ตัว พอทำเสร็จประมาณเที่ยง มีแม่ค้ามารับไปขายให้ ไม่เกินเวลา 15.00 น. หมดแล้ว ตอนหลังมีการเรียกร้องให้ทำไส้อื่นด้วย จึงต้องเพิ่มไส้มะพร้าวและไส้ถั่ว แม้ว่าจะไม่ขายดีเหมือนไส้หมู แต่ขายได้พอสมควร ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ชีวิตช่วงดังกล่าว ต้องย้ายตามสามีไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จากเชียงรายไปแม่ฮ่องสอน ไปอยู่สุไหงโก-ลก ก่อนจะมาอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทำให้ต้องหยุดทำกะหรี่ปั๊บไปโดยปริยาย จะมีทำกินเองหรือเลี้ยงแขกเป็นบางครั้ง
คุณเล็ก เล่าอีกว่า จนกระทั่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ลูกชายบอกว่าชอบขนมชนิดนี้มาก แต่ทว่าหารับประทานยาก จึงขอร้องแกมบังคับให้ทำขายอีกครั้งหนึ่ง เพราะเชื่อว่าลูกค้ามีแน่นอน โดยเริ่มต้นจากบรรดาลูกๆ ที่ทำไปแจกหรือเลี้ยงเพื่อนบ้างเวลามีเทศกาล ทำให้เป็นที่รู้จักของผู้คน แม้จะเป็นวงแคบ แต่มีคำสั่งซื้อเข้ามาเสมอ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ คนที่รู้จักจะสั่งเป็นจำนวนมาก
และบางบอน ซึ่งขายดีมากทำแทบไม่ทัน แต่เนื่องจากกะหรี่ปั๊บที่ตนเองทำนั้นเป็นสูตรโบราณ เกลียวเล็ก ทำให้มีปัญหาในการจีบเกลียว แม้จะมีคนมาเรียนกันมากในช่วงที่ผ่านมา แต่หายากที่จะจีบเป็น ทำให้มีปัญหาในเรื่องของกำลังการผลิตในปัจจุบัน



บทที่1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน

         เนื่องจากมีญาติของสมาชิกในกลุ่มประกอบอาชีพทำขนมกะหรี่ปั๊บส่งขายตามร้านค้าในหมู่บ้าน และขนมกะหรี่ปั๊บยังเป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่หารับประทานได้ไม่ยากนัก เป็นขนมที่มีต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตไม่สูงกลุ่มของข้าพเจ้าจึงจัดทำขนมกะหรี่ปั๊บ นอกจากได้รู้วิธีการทำขนมกะหรี่ปั๊บแล้ว เรายังได้รู้ถึงคุณค่าทางโภชนาการของขนมกะหรี่ปั๊บด้วย และเรายังสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นแนวทางหรือเป็นอาชีพในอนาคตได้
          ขนมกะหรี่ปั๊บเราสามารถประยุกต์ ได้หลากหลายสามารถทำได้หลายไส้เช่นไส้ไก่ไส้ถั่วเหลือง ไส้เผือก ไส้หมูและไส้อื่นๆอีกมากมาย แล้วแต่ความชอบของแต่ล่ะบุคคล  ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้เราสามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่นของเรา
           การทำขนมกะหรี่ปั๊บยังเป็นการอนุรักษ์ขนมไทย ให้คนรุ่นหลังสืบทอดกันตลอดไป

จุดมุ่งหมายของโครงงาน
             1.เพื่อศึกษาเกี่ยวกับประวัติและวิธีการทำขนมไทย
2.เพื่อฝึกการทำขนมกะหรี่ปั๊บ
3.เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพ
4.เพื่อสามารถนำความรู้นี้ไปเผยแพร่แก่คนรอบข้าง
5. เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม


สมมุติฐาน

หวังว่าจะได้รับประโยชน์และความรู้จากการทำโครงงาน เพื่อนำไปประกอบอาชีพในอนาคต และสามารถประยุกต์ขนมกะหรี่ปั๊บจากกะหรี่ธรรมดาเป็นกะหรี่รสต่างๆ โดยมีไส้ต่างๆเพื่อเพิ่มรสชาติที่อร่อยขึ้น


ขอบเขตการศึกษา
ศึกษาจากเว็บไซต์และสอบถามบุคคลที่รู้เกี่ยวกับขนมกะหรี่ปั๊บ

โครงงานอาชีพ
เรื่อง ขนมกะหรี่ปั๊บ


อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ อนุสรณ์ ฤกษ์บางพลัด
 รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานวิชาคอมพิวเตอร์ CAI ช่วยสอน

 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

คณะผู้จัดทำ

นางสาวสาวิณี   ย่ำยวน เลขที่ 23


นางสาวลัดดาวัลย์  ลุนระบุตร เลขที่ 27
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 5/3