วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


VDOการทำขนมกะหรี่ปั๊บ


ประวัติและความเป็นมาของกะหรี่ปั๊บ 

                       
           

                เป็นอาหารสไตล์ตะวันตกผสมกับอินเดีย เริ่มเป็นที่นิยมโดยชาวมุสลิมในประเทศไทย คาดว่าเป็นอาหารที่ถูกคิดค้นโดยโดยท้าวทองกีบม้า โดยตอนแรกชื่อว่า curry puff (พัฟฟ์ผงกะหรี่) ต่อมาได้เพี้ยนมาเป็น กะหรี่พัฟฟ์ และเพี้ยนเป็นกะหรี่ปั๊บในที่สุด
       สถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องกะหรี่ปั๊บที่มีชื่อเสียง คือ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี จนกลายเป็นคำขวัญของอำเภอ ที่ว่า "เนื้อนุ่ม นมดี กะหรี่ดัง"  และนอกจากนี้ยังมีการทำกระหรี่ปั่บที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย หนัก300 กิโลกรัม โดยใช้เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ลึก 80 เมตร ใช้คนทำ 20 คน และใช้นำมันพืชในการทำ ถึง 2,000 ลิตร ในงานมหกรรมสินค้าราคาถูกและงานกาชาดสระบุรี เมื่อ 28-31 ธันวาคม พ.ศ.2540


         ล่าสุด มีขนมโบราณอีกชนิดที่เจ้าของรื้อฟื้นกลับมาทำขายอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าขายดิบขายดี จนทำให้ต้องบอกต่อให้กันฟัง ขนมนั้นคือ "กะหรี่ปั๊บโบราณ" เป็นกะหรี่ปั๊บ แป้งบาง เกลียวเล็ก รับประทานกับอาจาด สูตรของ คุณสุวิมล ทองลิ่ม หรือเรียกแบบกันเองว่า คุณเล็ก คุณเล็กเจ้าของสูตรกะหรี่ปั๊บโบราณ วัย 67 ปี เล่าถึงที่มาที่ไปว่า เป็นคนกรุงเทพฯ เมื่อเรียนจบไปช่วยญาติทำขนมขายที่ตลาดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ตั้งแต่อายุ 17 ปี จนแต่งงานกับสามี ทำให้ต้องออกจากบ้านญาติ มาอยู่บ้านพักข้าราชการ แต่เนื่องจากไม่ชอบอยู่เฉย อีกทั้งได้วิชาทำขนมหลายอย่างจากญาติทางฝ่ายพ่อ ไม่ว่าจะเป็นกะหรี่ปั๊บ ข้าวต้มมัด ขนมถ้วยฟู ขนมปุยฝ้าย ขนมเปียกปูน ขนมหม้อแกง และขนมพื้นบ้านของจังหวัดพังงา เช่น ขนมโกซุ้ย ขนมเป่าร้าง เลยคิดจะทำขนมขาย ถือเป็นการหารายได้ช่วยครอบครัวทางหนึ่ง เพราะเมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา เงินเดือนข้าราชการน้อยมาก อีกทั้งมีลูกหลายคน ซึ่งตอนแรกคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดี แต่มีวันหนึ่งไปเยี่ยมนายอำเภอ เห็นคุณนายนายอำเภอกำลังปั้นกะหรี่ปั๊บจึงนั่งดูพร้อมกับจำไว้ว่าจีบกะหรี่ปั๊บให้เป็นเกลียวเล็กๆ แต่สวยงามอย่างไร ประจวบเหมาะกับที่บ้านรับนิตยสารขวัญเรือน ฉบับที่ลงวิธีทำกะหรี่ปั๊บ จึงได้หัดทำไส้พร้อมกับหัดจีบไปเรื่อย จนได้กะหรี่ปั๊บเป็นเกลียวสวยงาม อีกทั้งเมื่อมาสำรวจตลาดพบว่า มีขนมมากมายวางขาย แต่ไม่มีกะหรี่ปั๊บ จึงคิดว่า สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะหาคนที่จะจีบให้เป็นเกลียวเล็กสวยงามนั้นยากมาก ตนเองเลยตกลงใจเลือกทำขนมชนิดนี้ขาย คุณเล็ก เล่าอีกว่า แรกที่ทำขาย จะทำเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงเช้าจะมีคนรับไปขายที่ตลาด ทำวันละประมาณ 100 ตัว ขายหมดทุกวัน ต่อมาคนรับไปขายบอกว่า ให้ทำขายตอนบ่ายด้วย ชาวบ้านจะได้รับประทานเป็นอาหารว่าง ทำให้ต้องทำเพิ่มอีกกว่า 100 ตัว ซึ่งยังขายหมดทุกวันเหมือนเดิม "ทำกะหรี่ปั๊บขายต่อเนื่องมา 3-4 ปี จนกระทั่งต้องย้ายเข้ากรุงเทพฯ จึงเลิกทำ แต่หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี สามีกลับไปทำงานที่อำเภอตะกั่วป่าอีกรอบ จึงรื้อฟื้นทำขายอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้จะขายเฉพาะวันวันเสาร์-อาทิตย์ ขายตัวละ 50 สตางค์ คนขายคือลูกชายคนโตและคนรอง จะนำขนมใส่ถาดอะลูมิเนียมสี่เหลี่ยมพร้อมด้วยหม้ออาจาดเล็กๆ หิ้วไปด้วย ปรากฏว่า ขายไม่กี่ชั่วโมงก็หมด โดยทำวันละประมาณ 300 ตัว ลูกชายชอบใจและชอบที่จะขาย เพราะได้ค่าจ้างไปซื้อของเล่น"คุณเล็ก ย้อนอดีตให้ฟัง


เจ้าของเรื่องราว เล่าอีกว่า หลังจากที่ขายได้ไม่นาน มีคนเรียกร้องให้ขายวันธรรมดาด้วย แต่ไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีคนเดินขาย ถึงกระนั้นยังมีคนมาถามซื้ออยู่ประจำ เลยใช้วิธีหากใครต้องการรับประทานให้มารับที่บ้าน จะทำสดๆ ให้กันเลย แต่ต้องสั่งจำนวนมากกว่า 20 ตัวขึ้นไป ซึ่งเธอจำได้ดีว่าสมัยนั้น มีลูกค้าที่เป็นพวกนายเหมืองให้ลูกสาวขับรถบีเอ็มมาซื้อถึงบ้าน สั่งทีละห้าสิบหกสิบตัว โดยเฉพาะเวลามีงานเลี้ยง จะสั่งเป็นจำนวนมาก
คุณเล็ก เล่าต่อว่า แม้ว่าจะขายดิบขายดีแค่ไหน แต่เชื่อว่าลูกค้าต้องมีวันเบื่อ ดังนั้น ในช่วงเวลา 1 เดือน จะเปลี่ยนมาขายขนมอย่างอื่น 1 ครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นสาคูไส้หมูโบราณ คือลูกโตกว่าที่เห็นในปัจจุบัน 2-3 เท่าและใช้นึ่งกับลังถึงไม่เหมือนยุคนี้ที่ใช้วิธีต้ม ปรากฏว่าขายดีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สุดท้ายต้องเลิกขายทั้งกะหรี่ปั๊บและสาคูไส้หมู เพราะสามีต้องย้ายไปรับราชการที่ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อปี พ.ศ. 2516
เจ้าของตำรับกะหรี่ปั๊บโบราณเกลียวเล็ก เปิดใจต่อว่า แม้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ แต่พออยู่ได้สักพักมีคนรู้ว่าทำกะหรี่ปั๊บอร่อย จึงมีคนรับอาสาไปขายให้ ทำให้ขายได้วันละ 200 ตัว พอทำเสร็จประมาณเที่ยง มีแม่ค้ามารับไปขายให้ ไม่เกินเวลา 15.00 น. หมดแล้ว ตอนหลังมีการเรียกร้องให้ทำไส้อื่นด้วย จึงต้องเพิ่มไส้มะพร้าวและไส้ถั่ว แม้ว่าจะไม่ขายดีเหมือนไส้หมู แต่ขายได้พอสมควร ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ชีวิตช่วงดังกล่าว ต้องย้ายตามสามีไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จากเชียงรายไปแม่ฮ่องสอน ไปอยู่สุไหงโก-ลก ก่อนจะมาอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทำให้ต้องหยุดทำกะหรี่ปั๊บไปโดยปริยาย จะมีทำกินเองหรือเลี้ยงแขกเป็นบางครั้ง
คุณเล็ก เล่าอีกว่า จนกระทั่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ลูกชายบอกว่าชอบขนมชนิดนี้มาก แต่ทว่าหารับประทานยาก จึงขอร้องแกมบังคับให้ทำขายอีกครั้งหนึ่ง เพราะเชื่อว่าลูกค้ามีแน่นอน โดยเริ่มต้นจากบรรดาลูกๆ ที่ทำไปแจกหรือเลี้ยงเพื่อนบ้างเวลามีเทศกาล ทำให้เป็นที่รู้จักของผู้คน แม้จะเป็นวงแคบ แต่มีคำสั่งซื้อเข้ามาเสมอ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ คนที่รู้จักจะสั่งเป็นจำนวนมาก
และบางบอน ซึ่งขายดีมากทำแทบไม่ทัน แต่เนื่องจากกะหรี่ปั๊บที่ตนเองทำนั้นเป็นสูตรโบราณ เกลียวเล็ก ทำให้มีปัญหาในการจีบเกลียว แม้จะมีคนมาเรียนกันมากในช่วงที่ผ่านมา แต่หายากที่จะจีบเป็น ทำให้มีปัญหาในเรื่องของกำลังการผลิตในปัจจุบัน 




 ที่มาhttp://www.joompook.com/






วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การทำขนมกะหรี่ปั๊บ



                                                     เครื่องปรุง

1.            น้ำเปล่า
2.            เนื้อไก่บด
3.            ซีอิ้ว
4.            น้ำตาล
5.            เกลือ
6.            พริกไทย
7.            แป้งสาลีอเนกประสงค์
8.            ถั่วเหลือง
9.            น้ำมัน
10.    หอมหัวใหญ่หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ





วิธีทำแป้งของขนม

1.            เตรียมส่วนผสมให้พร้อมทุกอย่าง

   2.ละลายน้ำตาลละลายเกลือกับน้ำเปล่าคนให้เข้ากัน
                                                  

                                 

   3.ใส่ลงไปในแป้งสาลีอเนกประสงค์แล้วคนให้เข้ากัน





 
      4.และใส่น้ำมันลงไปแล้วนวดแป้งให้เข้ากันและนวดแป้ง

                  วิธีทำไส้กะหรี่ปั๊บ
1.      เตรียมส่วนผสมให้พร้อมทุกอย่างให้พร้อม

  

 2.ใส่น้ำมันลงไปพอน้ำมันเริ่มร้อนใส่หอมหัวใหญ่ลงไป


3.ใส่เนื้อไก่และถั่วเหลืองลงไปแล้วคนให้เข้ากัน

  


4. ปรุงรสด้วยซอส น้ำตาล พริกไทย
    

          วิธีพับขนม
1.            นวดแป้งให้เป็นรูปวงกมแบนๆ

2.นำแป้งที่ได้มาคลึงให้เป็นแผ่นบาง   ใส่ไส้ตรงกลางปิดให้สนิท จีบปลายแป้งให้สวยงาม
  

      
  3.แล้วนำมาทอดให้กรอบ


ลักษณะที่ดีของขนม กะหรี่ปั๊บไส้ใก่ เมื่อขนมสุกจะมีสีเหลืองทอง มีชิ้นขนาดเท่ากัน บีบริมเป็นเกลียวเท่ากันทั้งชิ้น จะเห็นลายชัดบนชิ้นขนมทุกชิ้น ไส้ขนมถูกห่อด้วยแป้งจนมิด ไม่โผล่ออกมาให้เห็น รสชาติของขนม มัน เค็ม กรอบ หอมกลิ่นผงกะหรี่ เหมาะสำหรับเสิร์ฟเป็นของว่างคาวอีกชนิด